วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

IT Learning Journal ครั้งที่ 6

ครั้งที่ 6: 14/12/2010
E-Business and E-commerce
การทำE-BiZคือการทำไงก้อได้ให้ทั้งระบบเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย ไม่ใช่แค่เพียงการขายของเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่าง
Dell
ไมเคิล เดล เห็นช่องทางในการให้คนซื้อคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ต จึงพัฒนาเว็บไซต์เดลดอทคอมขึ้นมา ให้อิสระผู้ซื้อในการเลือกคุณสมบัติต่างๆของคอมพิวเตอร์ได้ตามความต้องการ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบและปรับตัวได้ทัน เนื่องจาก learning curve ของการใช้อินเตอร์เน็ต ทำให้ในขณะนั้นคนยังเรียนรู้การใช้งานได้ช้าอยู่
นอกจากนี้ Dell ยังมี Catalog ให้ลูกค้าได้เลือกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และใช้ระบบพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์บริหารซัพพลายเชนขององค์กรได้ เนื่องจากส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ของเดลสั่งผลิตจากจีน แต่จะประกอบที่อเมริกา ทำให้กระบวนการรับคำสั่งต่างๆสะดวกขึ้น
ส่วนเรื่อง Customer service จะมีศูนย์อยู่ที่อินเดีย ในการสั่งซื้อ การสอบถามข้อมูลและปัญหาต่างๆ เนื่องจากอินเดียมีค่าแรงถูก และคนค่อนข้างมีประสิทธิภาพด้านภาษา

E-bay
                เป็นเว็บไซต์ประมูล เมื่อต้องการสินค้าก็สามารถเข้าไป bid แข่งกับคนอื่นได้ จะเห็นว่าเสื้อบางตัวคนก็ bid กันจนราคาสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งเหตุผลที่คนทำเช่นนั้น เนื่องจาก Information asymmetric เนื่องจากคนแต่ละประเทศมีข้อมูลราคาเสื้อชนิดนั้นต่างกัน รวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากเอาชนะ ทำให้สินค้ามีราคาสูง
ปัจจุบัน E-bay ไม่ใช่มีเพียงขายให้กับลูกค้ารายย่อยอย่างเดียว

Amazon
                เริ่มจากการขายหนังสือบนเว็บไซต์ ต่อมาเริ่มมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ส่วนเหตุผลที่เขาขายหนังสือก่อน เนื่องจากการขายหนังสือจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการขายสินค้ามาก
Long tail คนส่วนใหญ่เวลาซื้อของจะซื้อกันแค่ไม่กี่ชนิด เช่นตามร้านหนังสือ อาจซื้อเฉพาะพวกที่อยู่ในหมวด best seller แต่อะเมซอนเห็นว่ามีหนังสืออีกจำนวนมากที่คนจำนวนมากที่ต้องการได้ของที่แปลกออกไป ไม่ใช่แค่พวกที่เป็นที่นิยมเท่านั้น ซึ่งการใช้อินเตอร์เน็ตในการขายหนังสือ จะทำให้คนเข้าถึงหนังสือได้หลายชนิดมากขึ้น และประหยัดพื้นที่
ปัจจุบันอะเมซอนเริ่มมีการทำเป็น E-book

Click-&-mortar VS Brick-&-mortar
Click-&-mortar เป็นบริษัทที่มีออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ธนาคาร จองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
Brick-&-mortar เป็นธุรกิจทั่วๆไป

EC Model
·         Affiliate marketing เอาลิงค์ต่างๆไปวางในบล็อคหรือเว็บไซต์ที่เราทำไว้ เราก็จะได้เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิสชั่นไป
·         Bartering online เหมือนยื่นหมูยื่นแมว เช่น craigslist.com เป็นเว็บไซต์ที่เราอยากทำอะไรก็ได้ คนโพสท์ก็ฟรี คนเข้ามาใช้บริการก็ฟรี เวลาซื้อของหรือแลกของก็สามารถเข้ามาในเว็บนี้ได้ หรืออย่าง Priceline.com เวลาซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม เราสามารถเข้าไปเสนอราคา และ match ความต้องการของเราให้ได้

Online Advertisers, Marketers, & Students
เช่น facebook

API (Application programming interface)
บริษัทหนึ่งๆ ผลิตเซอร์วิสขึ้นมาแล้วลิงค์โปรแกรม เช่น ไอโฟนมีการส่งลิงค์แอพพลิเคชั่นไป มีผลิตภัณฑ์อะไรก็ไม่เก็บไว้คนเดียว มีการแชร์

Discussion

Benefit of E-commerce
·         ต่อองค์กร อาจทำให้ลูกค้ามากขึ้น ประหยัดค่า transaction cost ต่างๆ ลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น
·         ต่อลูกค้า ลูกค้าสะดวกขึ้น พึงพอใจมากขึ้น
·         ต่อสังคม

Limitation of E-commerce
·         ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ผู้บริโภคและผู้ทำพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์ไม่ได้มีสแตนดาร์ดเดียวกัน อาจทำให้ยากต่อการเชื่อมต่อ รวมถึงด้านความปลอดภัย
·         ข้อจำกัดด้านที่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่น เรื่องของความปลอดภัย อย่างฐานข้อมูลอาจมีการแฮกได้

Social commerce / social shopping
ผู้บริโภคมักหาข้อมูลก่อนการซื้อสินค้า เช่น เฟสบุ๊ค เรามักจะได้เทรนด์รวมถึงข้อมูลในตัวสินค้าได้จากเพื่อน ซึ่งเราจะเชื่อถือมากกว่าการเข้าไปอ่านข้อมูลสินค้าในเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ นอกจากนี้เฟสบุ๊คยังมีลิงค์การ review สินค้าของเพื่อนเรา ทำให้เราสามารถเข้าไปดูตามลิงค์นั้นๆต่อไปได้
Blogging and Wiki
มีความเกี่ยวข้องกับการทำพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์

Is EC really mechanism?

E-Catalogs
มีแคตตาล็อคออนไลน์ เนื่องจากมีคนอีกมากที่ต้องการดูในลักษณะของหนังสือ แต่ยังสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้

E-Auctions
เป็นพวกเว็บไซต์ประมูลอย่าง e-bay ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงผู้บริโภคกับผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงพวก B2B ที่ใช้บริการนี้ด้วย
E-Classifieds เช่น e-bay, paypal, half.com เป็นต้น
Bartering & negociation
เป็นเว็บไซต์ที่สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันได้ เช่น lala, straptree.com

E-storefronts
มีธุรกิจหน้าร้านตามห้างอยู่แล้ว แต่ยังมีหน้าร้านบนเว็บไซต์ หรือออนไลน์ด้วย ข้อดี ทำให้ลูกค้าสะดวกขึ้นในการดูข้อมูลสินค้า การส่งคืนสินค้าเป็นต้น ส่วนข้อเสีย ลูกค้าไม่เห็นสินค้าของจริง

Customer service online
เช่น true, AIS, ซึ่งมักจะมี ffaq เพื่อให้ลูกค้าหาคำตอบเองก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆจึงต้องติดต่อกับทางบริษัทอีกที

E-malls
เช่น MSN shopping, Choice Mall, shopping-headquarter.com, weloveshopping.com

Travel Services
ข้อมูลเครื่องบิน รถไฟ โรงแรม  เช่น Travelocity, hotwire.com, expedia, hotelthailand.com, เป็นต้น

นอกจาก E-biz แล้วยังมี E-gov คือเป็นการทำพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์ระหว่างรัฐบาล รวมถึง E-auction ก็เป็น E-gov ประเภทหนึ่ง เช่น govmarketexchange.com

Major models of E-biz
·         B2E
·         E2E

Payment อาจมีการใช้
·         EDI เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กร
·         RFID เช่น ในไอโฟนรุ่นต่อไปอาจมี RFID ฝัง

Ethical & legal issues in E-biz
·         ควรดูชื่อเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
·         พยายามหาข้อมูลบริษัทต่างๆก่อนการทำธุรกรรม
·         ดูว่ามี review มากน้อยแค่ไหน

Presentation
Cloud Computing
คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้อง การผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็น เช่นไร
ข้อดี
·         ประหยัดต้นทุน เนื่องจากการลงทุนด้านไอทีมีต้นทุนสูง และเปลี่ยนแปลงเร็ว การใช้เซอร์วิสของคนอื่นในการดึงข้อมูลจะประหยัดและง่ายขึ้น
·         สามารถวัดเป็นตัวเลขได้
·         สามารถเข้าถึงศักยภาพด้านไอที
·         เน้นไปที่ความสามารถหลักขององค์กร ทำให้สามารถชนะคู่แข่งได้
·         เปิดโอกาสให้บริษัทใช้สินทรัพย์ต่างๆอย่างคุ้มค่า

Cloud Computing Concerns
·         Privacy and security เนื่องจากข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งไปแบบ cloud computing ดังนั้นอาจต้องคำนึงถึงความปลอดดภัยของข้อมูล
·         Non-standard platform แต่ละฟอร์มของแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน
·         Reliability ควรเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ กรณีระบบเขาล่มอาจมีความเสี่ยงต่อการดำเนินงานของบริษัท
·         Portability ไปที่ไหนก็สามารถทำงาน ใช้งานได้จากการออนไลน์


Health Informatics
                คือการนำข้อมูลด้านสุขภาพผนวกเข้ากับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานด้านสุขภาพ เช่น ใช้ในคลินิกต่างๆ มีทั้งหมด 5 ประเภท
1.       ข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม
2.       ข้อมูลด้านสุขภาพ จะรวบรวมข้อมูลสุขภาพบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย
3.       ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข เช่นด้านทรัพยากรบุคคล ด้านการเงิน
4.       ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข
5.       ข้อมูลในการวางแผนและประเมินผล

การนำไปใช้ในด้านต่างๆ
1.       สาธารณสุขเพื่อการบริหาร เช่น ใช้ในการบริหารงานในโรงพยาบาล ในคลินิกต่างๆ เป็นต้น
2.       สาธารณสุขเพื่อการบริการ เช่น ระบบวินิจฉัยโรค
3.       สาธารณสุขเพื่องานวิชากร เช่น รวบรวมองค์ความรู้

ข้อดี
·         ช่วยลดความผิดพลาดในระบบข้อมูล
·         ช่วยในการวางแผนความต้องการและการใช้ทรัพยากรทั้งเงินและบุคลากร
·         เพิ่มคุณภาพการรักษาพยาบาล
·         ทำให้การบริหารงานสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น


Web 2.0
เว็บ 2.0 คือ รูปแบบของเว็บไซต์รุ่นที่สอง ที่เน้นการนำเข้าเนื้อหาจากผู้เขียนที่หลากหลาย นำไปแสดงในเว็บไซต์ได้มากมาย เกิดเครือข่ายสังคม ด้วยรูปแบบที่ดูง่าย และน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นการเปลี่ยนสภาพของเว็บ จากแค่ผลรวมของเว็บไซต์หลายๆแห่ง มาเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านเว็บให้กับผู้ใช้
มีลักษณะสำคัญคือ สามารถใช้งานร่วมกับเว็บเบราเซอร์ได้ ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถมีส่วนร่วมในเว็บไซต์มากขึ้น และมีคุณสมบัติ RIA นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้งานสองด้าน คือสามารถตอบโต้ระหว่างผู้ใช้งานได้
ข้อแตกต่างจาก web 1.0 คือ เจ้าของเว็บไซต์เท่านั้นที่สามารถสื่อสารได้ ไม่มีการโต้ตอบกันได้อย่างเว็บ 2.0  เช่น Double click, Ofoto
ปัจจุบันเรากลับใช้ Internet เพื่อ เขียน BLOG, แชร์ Photo, ร่วมเขียน Wiki, Post Commment ในข่าว, หาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed มาอ่านที่ Desktop, และ Google

ตัวอย่าง Web 2.0
Youtube, Wikipedia, housingmaps.com เป็นต้น

ข้อดีของ Web 2.0
·         ในด้านของโฆษณา
·         ผู้ใช้ทั้วไปได้ความสะดวกสบายดีขึ้น
·         ทำให้ลูกค้า และบริษัทผู้ใช้สินค้าหรือบริการ สามารถสร้าง Social Commerce ได้ด้วย ซึ่งนอกเหนือไปจากคุณสมบัติของ E-commerce

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลต่างๆก็ต้องระวังมากขึ้น จึงอาจมีการพัฒนาเป็น 3.0 เพื่อป้องกันด้านข้อมูลมากขึ้น รวมถึงให้มีระเบียบมากขึ้น เพื่อรองรับกับจำนวนข้อมูลที่มากขึ้น


วรางค์รัตน์ นคราพานิช
5202112818

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

IT Learning Journal ครั้งที่ 5

ครั้งที่ 5 : 7/12/2010
Information Technology Economics

Technology and Economic Trends and the Productivity Paradox

ตามกฎของมัวร์ (Moore's Law) ได้ระบุไว้ว่า พลังในการประมวลผลของชิพคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 18 - 24 เดือน ในขณะที่อัตราส่วนราคาต่อประสิทธิภาพจะลดลงแบบ Exponential อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพลังของคอมพิวเตอร์จะมากขึ้น แต่ในหลายๆ กรณี Productivity ทางเศรษฐกิจของบริษัทที่ใช้ IT กลับเติบโตช้ากว่า ซึ่งก่อให้เกิด Productivity Paradox ได้ โดย Productivity Paradox  เป็นความขัดแย้งระหว่าง computer power ที่เพิ่มขึ้น แต่ productivity ที่ได้กลับน้อยกว่า หรือไม่มากเท่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

·         Productivity Gains ไม่ปรากฏในข้อมูล หรือการวิเคราะห์ข้อมูล
·         Productivity Gains ถูกชดเชยด้วยต้นทุนที่สูงกว่า หรือผลสูญเสียในด้านอื่นๆ
·         Time Lag ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นเป็นรูปธรรม คือไม่ได้ผลตอบแทนในทันที
·         การใช้ระบบ IT ในปัจจุบันแตกต่างจากแผนที่คาดหวังไว้

Evaluating IT Investments: Needs, Benefits, Issues, and Traditional Methods

ในปัจจุบันมีแรงกดดันในการประเมินผลทางการเงินที่เพิ่มขึ้น มีการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น ประกอบกับอาจจะมีการผูกโครงการ IT เข้ากับการให้โบนัสพนักงาน ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินการลงทุนใน IT ให้เหมาะสม โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.       วางกรอบการวิเคราะห์ที่เหมาะสม และกำหนด Return on Investment (ROI) ที่ต้องการ
2.       ทำการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม โดยใช้เกณฑ์ที่เป็น Objective
3.       พิจารณา และระบุสมมติฐานเกี่ยวกับต้นทุน และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
4.       ระบุเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ รวมไปถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยง
5.       ตอบคำถามให้ได้ว่าการลงทุนดังกล่าวสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัทหรือไม่

อย่างไรก็ตามบางโครงการอาจไม่จำเป็นต้องมีการประเมิน เนื่องจาก
1.       เป็น project ที่ใช้เงินลงทุนน้อยมาก
2.       project นั้นจัดว่าเป็น infrastructure คือมีความสำคัญจำเป็นในการรองรับการดำเนินงานองค์กร
3.       project นั้นเป็นงานที่นายสั่ง
4.       ข้อมูลในการตัดสินไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ การวัด Productivity และ Performance Gains ก็อาจเป็นอุปสรรคได้ เนื่องจากอาจมีการวัดมูลค่าผิด เกิด Time Lag หรือหาความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนกับประสิทธิภาพขององค์กรได้ยาก ส่วนผลประโยชน์ที่เป็นนามธรรม (Intangible Benefits) ก็ต้องมีการประมาณมูลค่าให้เห็นเป็นตัวเงิน ในขณะที่ต้นทุนที่เกิดขึ้น จะมีประเด็นหลักๆ ที่ควรระวังนั่นคือ การจัดสรรต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ Transaction Cost ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ต้นทุนในการค้นหาข้อมูล การได้ข้อมูล การเจรจาต่อรอง การตัดสินใจ และการควบคุม
นอกจากนี้ในส่วนของ Intangible benefit ซึ่งยากที่จะบอกเป็นตัวเงิน เช่น สินค้าออกสู่ตลาดเร็วขึ้น, ความพึงพอใจของลูกค้า เป็นต้น ในการจัดการกับ intangible benefit สามารถทำได้โดยประเมินคร่าวๆถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น หากประเมิน intangible benefit สูงไป ก็อาจทำให้สูญเสียโอกาสในการนำเงินไปลงทุนในส่วนอื่น แต่ถ้าประเมินต่ำไปก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสลงทุนใน project นั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นได้แก่
·         Think broadly and softly มองหา benefit อื่นๆ เช่น ลูกค้ามีความซื่อสัตย์กับองค์กรมากขึ้น
·         Pay your freight first มองผลประโยชน์ระยะสั้น สนใจอันที่ได้ชัวร์
·         Follow the unanticipated ให้เปิดใจในการมอง เปิดโอกาสให้คนอื่นช่วยคิด เช่น เลย์ ให้คนช่วยคิดสูตรให้

เมื่อระบุต้นทุน และผลประโยชน์ได้แล้ว ก็จะต้องมีการวิเคราะห์ Cost-Benefit และพยากรณ์กระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าว โดยวิธีการวิเคราะห์ Cost-Benefit อาจทำได้หลายวิธี เช่น

·         Net Profit หรือผลต่างระหว่างต้นทุน และรายได้โดยตรง เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ไม่ได้คำนึงถึง Time Value of Money และจะเปรียบเทียบยาก หากมี Net Profit ที่เท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน
·         Payback Period หรือระยะเวลาคืนทุน เป็นระยะเวลาที่ผลตอบแทนที่ได้รับทั้งหมดเท่ากับต้นทุนที่เสียไป แต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือ ไม่ได้มองว่า Cash Flow ในแต่ละปีจะเป็นเท่าไร
·         Return on Investment (ROI) เป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้เฉลี่ยในแต่ละปี กับเงินลงทุนที่ใช้ไป
·         Net Present Value (NPV) วิธีนี้เป็นการคำนวณผลตอบแทนที่จะได้รับทั้งหมด โดยที่มีการคิดลดให้เป็น Present Value ตาม Discount Rate ที่กำหนด การใช้วิธีนี้อาจจะเป็นปัญหาในการเปรียบเทียบโครงการที่มีอายุต่างกัน หรือขนาดการลงทุนที่ต่างกัน
·         Internal Rate of Return (IRR) เป็นการระบุอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ ที่สามารถนำไปเทียบกับอัตราดอกเบี้ยได้ แต่ไม่ได้ระบุขนาดของผลตอบแทนอย่างแน่ชัด (กรณีที่มีค่า IRR มากกว่า 1 ค่า ให้เลือกค่าที่น้อยที่สุด)
·         อื่นๆ เช่น Economic Value Added (EVA), Benefit-to-cost Ratio, ฯลฯ

และจะมีวิธีการขั้นสูงต่างๆ ที่สามารถนำมาประเมินการลงทุนทางด้าน IT ได้ โดยประเภทของการประเมินการลงทุนทางด้าน IT แบ่งได้ดังนี้
·         Financial มองเฉพาะตัวเลขทางการเงินที่ออกมา เช่น NPV, ROI
·         Multicriteria ดูทั้งผลกระทบทางการเงิน และในส่วนที่ไม่ใช่การเงิน
·         Ratio คำนวณอัตราส่วนต่างๆ
·         Portfolio เป็นการตั้งข้อเสนอการลงทุนในหลายๆ วิธี

Advanced Methods for justifying IT investment and using IT metrics

นอกจากวิธีที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีการขั้นสูงต่างๆ ที่สามารถนำมาประเมินการลงทุนได้ เช่น
·         Total Cost of Ownership (TCO) เป็นการคำนวณต้นทุนที่จะเกิดขึ้นตลอดอายุของการลงทุน เช่น Acquisition Cost, Operations Cost, Control Cost วิธีนี้อาจทำควบคู่ไปกับ Total Benefits of Ownership (TBO) เพื่อหาผลตอบแทนรวมที่จะได้รับ (Payoff = TBO - TCO)
·         Benchmarks เป็นการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม หรือ คนที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมนั้น ซึ่งควรจะใช้การวัดแบบ objective เพื่อจะให้ได้ค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครจะเป็นคนวัดก็ตาม
·         Balanced Scorecard เป็นการประเมินผลงานในหลายๆ ด้าน ที่นอกเหนือจากด้านการเงินเพียงด้านเดียวตาม traditional approach โดยมีทั้งสิ้น 4 มุมมอง ดังนี้
1.       Financial perspectives เพิ่มกำไร รายได้ ลดต้นทุน
2.       Customer perspectives  ประเมินความพึงพอใจของลูกค้า
3.       Internal Process perspectives ประเมิน Productivity ทักษะพนักงาน และอื่นๆ
4.       Learning and Growth perspectives ให้ความสำคัญกับบุคลากรในองค์กร
·         Performance Dashboard
·         E-procurement Metrics วัดว่าเอามาใช้แล้วดีหรือไม่ เช่น ส่งตรงเวลามากขึ้น
·         CRM อาจจะดูจากยอดขายว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทางด้าน marketing อาจจะดู ROMI หรือทางด้าน serviceดูว่าแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นหรือไม่ เป็นต้น
·         E-commerce ควรดูว่าการลงทุนนั้นสนับสนุน strategic หรือไม่ และไม่ควรลงทุนแบบในยุค e-commerce boom
Where costs of IT investment go?
มองเป็น overhead cost และคิดจากส่วนกลาง และshare กันหมดทุกฝ่าย ส่วนกรณี Chargeback คือจะชาร์จตามการใช้งาน ซึ่งสามารถบริหารจัดการให้คนไปใช้ในช่วงไม่ peak ได้ด้วยการ offer ราคาค่าใช้บริการต่ำ
                Failures & Runaway projects ส่วนมากมักเกิดขึ้นจากการที่ไม่ได้ทำ cost-benefit ที่ถูกต้อง หรือไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ ซึ่งผู้บริหารมีสิ่งที่ควรคำนึงต่างๆ (Managerial Issues) ดังนี้
ปัจจุบันธุรกิจถูกขับเคลื่อนด้วย IT เป็นสำคัญ ดังนั้นประเด็นที่ผู้บริหารต้องใส่ใจและคำนึงถึง คือ ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของ technology นอกจากนี้เผู้บริหารไม่ควรจะสนใจเพียง tangible benefit แต่ควรสนใจที่ intangible benefit ด้วย รวมถึงวิเคราะห์ความเสี่ยง และเลือกใช้เครื่องมือในการตัดสินใจให้เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจ ปัจจุบันอาจไม่เพียงแต่ฝ่ายการเงินเพียงฝ่ายเดียว แต่อาจใช้ผู้บริหารจากฝ่ายต่างๆ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากนอกองค์กรร่วมตัดสินใจได้ด้วย

วรางค์รัตน์ นคราพานิช
5202112818